วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วิชา ฐานข้อมูลเบื้องต้น

วิชา  ฐานข้อมูลเบื้องต้น
การบ้านบทที่ 4 ประจำวันที่  24 พฤศจิกายน  2553
1. โครงสร้างข้อมูลเชิงสัมพันธ์ประกอบด้วยอะไรบ้าง  จงอธิบาย
     ตอบ  Relation - ตาราง 2 มิติ ประกอบด้วย Row และ Column
              Attribute - คุณสมบัติหรือรายละเอียดของ Relation
              Domain - เป็นการกำหนดขอบเขต ค่าข้อมูล และชนิดของข้อมูล เช่น Salary - มีค่าไม่เกิน 7 digits ,เพศ - 1 = ชาย/2 = หญิง
              Tople - คือแถวแต่ละแถวใน Relation
              Degree - คือจำนวน Attribute ที่บรรจุอยู่ใน Relation
              Cardinality - คือจำนวน Tuple หนึ่งที่บรรจุอยู่ใน Relation หนึ่งที่ไปมีความสัมพันธ์ใน Tuple ของอีก Relation หนึ่ง
2. คุณสมบัติในการจัดเก็บข้อมูลของรีเลชั่นมีอะไรบ้าง
     ตอบ 1. Relation ต้องมีชื่อกำกับ และชื่อซ้ำกันไม่ได้
              2. แต่ละ Attribute ของ Relation จะบรรจุค่าเพียงค่าเดียว (single value)
              3. ชื่อของแต่ละ Attribute ในแต่ละ Relation จะต้องไม่ซ้ำกัน
              4. ค่าของข้อมูลใน Attribute ต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของ Domain ใน Attribute นั้น ๆ
              5. การเรียงลำดับในแต่ละ Attribute ไม่มีความสำคัญใด ๆ
              6. แต่ละ Tuple ต้องไม่มีข้อมูลที่ซ้ำกัน
              7. การเรียงลำดับของแต่ละ Tuple ไม่มีความสำคัญใด ๆ
3. รีเลชั่นประกอบด้วยคีย์ประเภทต่าง ๆ อะไรบ้าง จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบประเภทคีย์ดังกล่าว
     ตอบ 1. คีย์หลัก (Primary Key) เป็น Attribute ที่มีคุณสมบัติของข้อมูลที่มีค่าเป็นเอกลักษณ์ หรือไม่มีค่าซ้ำกัน โดยคุณสมบัตินั้นจะสามารถระบุว่าข้อมูลนั้นเป็นของ Tuple ใด เช่น รหัสนักศึกษา หรือเลขที่บัตรประชาชน ซึ่งจะต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นคีย์หลักขึ้นมา
              2. คีย์ผสม (Composite Key) เป็นการนำฟิลด์ตั้งแต่ 2 ฟิลด์ขึ้นไปมารวมกัน เพื่อให้มีคุณสมบัติเป็น Primary Key เนื่องจากหากใช้ฟิลด์ใดฟิลด์หนึ่งเป็น PK จะส่งผลให้ข้อมูลในแต่ล่ะเรคอร์ดซ้ำซ้อนได้ เช่น รีเลชั่นใบส่งของ (Invoice) มีคีย์ คือ แอทริบิวต์เลขที่ใบส่งของ และแอทริบิวต์รหัสสินค้า เพราะใบส่งของแต่ละใบจะมีรายการสินค้าบรรจุในใบส่งของได้มากกว่า 1 รายการ ดังนั้นถ้าใช้แอทริบิวต์เลขที่ใบส่งของเพียงตัวเดียวจะไม่สามารถแยกความแตกต่างแต่ละ Tuple ได้
              3. คีย์คู่แข่ง (Candidates Key) ในแต่ละ Relation อาจมี Attribute ที่ทำหน้าที่เป็นคีย์หลักได้มากกว่าหนึ่ง Attribute โดยเรียก Attribute เหล่านี้ว่า คีย์คู่แข่ง (Candidates Key) เช่น นักศึกษาแต่ละคนมี รหัสประจำตัวนักศึกษา และ รหัสประจำตัวบัตรประชาชน โดยปกติแล้วจะเลือก Candidates Key ที่สั้นที่สุดเป็น Primary Key
              4. คีย์นอก (Foreign Key) คือคีย์ซึ่งประกอบด้วยแอทริบิวต์หรือกลุ่มของแอทริบิวต์ในรีเลชันหนึ่งซึ่งมีคุณสมบัติเป็นคีย์หลัก และไปปรากฎอีกรีเลชันหนึ่ง เพื่อประโยชน์ในการเชื่อมโยงข้อมูลซึ่งกันและกัน เช่น ฐานข้อมูลของธนาคารแห่งหนึ่งประกอบด้วย 2 ตาราง คือ 1. ตารางบัญชีที่ลูกค้าเปิด (เลขประจำตัวลูกค้า, ชื่อ - นามสกุลและประเภทของบัญชี) 2. ตารางลูกค้า (เลขประจำตัวลูกค้า, ชื่อ - นามสกุล และที่อยู่) หากต้องการทราบว่าลูกค้ารายหนึ่งเปิดบัญชีใดบ้าง ก็เชื่อมโยงข้อมูล 2 ตารางเข้าด้วยกัน โดยใช้เลขประจำตัวลูกค้าเป็น Foreign Key
4. Null หมายถึงอะไรใน Relational Database
    ตอบ Null หมายถึง Attribute ใดที่ไม่มีค่าข้อมูลเก็บอยู่หรือไม่ทราบค่าข้อมูลที่จะใส่ลงไปใน Attribute ของระเบียนหนึ่ง ๆ ค่าว่างไม่ใช่ช่องว่าง (Blank) หรือ ศุนย์
5. เหตุใดจึงต้องมีการนำ Integrity rule มาใช้ในฐานข้อมูล
     ตอบ เพราะฐานข้อมูลไม่สามารถรู้ได้เองว่าข้อมูลที่เก็บอยู่นั้นสอดคล้องกับความเป็นจริงหรือไม่ เราจึงต้องบอกให้ฐานข้อมูลรู้ด้วยสิ่งที่เรียกว่า กฎการควบคุมความถูกต้องของข้อมูล
6. ความสัมพันธ์ระหว่างรีเลชั่นมีกี่ประเภท อะไรบ้าง จงยกตัวอย่างประกอบ
    ตอบ ความสัมพันธ์ระหว่างรีเลชั่น แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
              1. One to One Relationship (1 - 1) เช่น อาจารย์ กับ คณะ คือ แต่ละคณะจะมีอาจารย์ที่เป็นคณบดีได้คนเดียวเท่านั้น
              2. One to Many Relationship (1 - M) เช่น ลูกค้า กับ ใบสั่งซื้อ คือ ลูกค้าหนึ่งคนมีใบสั่งซื้อได้หลายใบ และใบสั่งซื้อแต่ละใบจับคู่กับลูกค้าได้เพียงคนเดียว
              3. Many to Many Relationship (M - M) เช่น สินค้า กับ ใบสั่งซื้อ คือ สินค้า 1 ชนิด ถูกสั่งตามใบสั่งซื้อได้หลายใบ และใบสั่งซื้อ 1 ใบ สามารถสั่งสินค้าได้หลายชนิด

วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วิชา ฐานข้อมูลเบื้องต้น

วิชา  ฐานข้อมูลเบื้องต้น
การบ้านบทที่ 3 ประจำวันที่  17 พฤศจิกายน  2553
1.การแบ่งสถาปัตยกรรมของฐานข้อมูลออกเป็น  3  ระดับ  มีไว้เพื่อวัตถุประสงค์ใดเป็นสำคัญ
   
ตอบ  เพื่อให้เกิดความเป็นอิสระของข้อมูล (Data Independence) คือในการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในระดับที่สูงกว่า จะไม่มีผลกระทบการข้อมูลในระดับที่ต่ำกว่า
2. ความเป็นอิสระของข้อมูลมีบทบาทสำคัญอย่างไรต่อการจัดการฐานข้อมูล  จงอธิบาย
   
ตอบ  ความเป็นอิสระของข้อมูล  ซึ่งเป็นจุดเด่นของระบบฐานข้อมูล  คือเมื่อมีการเปลี่ยนโครงสร้างที่ระดับใดก็ตามจะไม่มีผลกระทบทำให้ระดับที่อยู่เหนือกว่าต้องทำการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตามไปด้วย
3. ปัญหาที่สำคัญของ  Hierarchical  Model  คืออะไร  และเหตุใด  Hierarchical  Model จึงไม่สามารถลดความซ้ำซ้อนของข้อมูลได้ทั้งหมด
   
ตอบ  Record ลูกไม่สามารถมี record พ่อหลายคนด้  หากข้อมูลมีจำนวนมาก  การเข้าถึงข้อมูลจะใช้เวลานานในการค้นหา  เนื่องจากจะต้องเข้าถึงที่ต้นกำเนิดของข้อมูล จึงไม่สามารถลดความซ้ำซ้อนของข้อมูลได้ทั้งหมด
4. เหตุใด  Network  Model  ซึ่งสามารถแก้ปัญหาความซ้ำซ้อนของข้อมูลได้จึงไม่เหมาะกับการนำใช้งาน
   
ตอบ  เพราะ  Network  Model  สามารถมีต้นกำเนิดของข้อมูลได้มากกว่า 1 และยินยอมให้ระดับชั้นที่อยู่เหนือกว่าจะมีได้หลายแฟ้มข้อมูลถึงแม้ว่าระดับชั้นถัดลงมาจะมีเพียงแฟ้มข้อมูลเดียว
5. สิ่งที่ทำให้  Relational  Model  ได้รับความนิยมอย่างมากคืออะไร  จงอธิบาย
   
ตอบ  เหมาะกับงานที่เลือกข้อมูลแบบมีเงื่อนไขหลายคีย์ฟิลด์ข้อมูล  สามารถป้องกันข้อมูลถูกทำลายหรือแก้ไขได้ดี  เนื่องจากโครงสร้างแบบสัมพันธ์นี้ผู้ใช้จะไม่ทราบว่าการเก็บข้อมูลในฐานข้อมูลอย่างแท้จริงเป็นอย่างไร  จึงสามารถป้องกันข้อมูลถูกทำลายหรือแก้ไขได้

วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วิชาฐานข้อมูลเบื้องต้น

วิชาฐานข้อมูลเบื้องต้น
การบ้านบทที่ 1 ประจำวันที่  10 พฤศจิกายน  2553
1. จงสรุปแนวคิดในการจัดการข้อมูลจากอดีตถึงปัจจุบัน  
   ตอบ  ในอดีตการจัดเก็บข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์มีลักษณะเป็นแฟ้มข้อมูล  ข้อมูลเหล่านั้นอาจไม่ใช่ข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน การขยายระบบจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคำนึงถึงการจัดเก็บข้อมูลด้วย ซึ่งการเก็บข้อมูลแบบเดิมทำให้เกิดปัญหาต่างๆ  ในปัจจุบันนี้ข้อมูลต่างๆ ได้ถูกจัดการไว้อย่างเป็นระเบียบ โดยเก็บไว้ในสิ่งที่เรียกว่า แฟ้ม (File)
2. โครงสร้างของแฟ้มข้อมูลประกอบด้วยอะไรบ้าง  จงอธิบาย         
    ตอบ   โครงสร้างของแฟ้มข้อมูลจะประกอบไปด้วย     
                  
- บิต (bit) ประกอบไปด้วยเลขฐานสอง  ใช้แทนค่าหน่วยที่เล็กที่สุดของข้อมูลคอมพิวเตอร์  โดยหน่วยที่ใช้จะมีค่า  0 และ  1 
เท่านั้น            
               
- ไบต์ (byte) คือการนำเอาบิตหลาย ๆ บิตมาเรียงต่อกัน  เช่น  1 ไบต์มี  8 บิต ก็คือการนำเอาเลข 0 กับ 1 มาเรียงต่อกัน 8 ตัวจนครบ  1
ไบต์  เพื่อให้ได้อักขระหนึ่งตัว           
                  
- ฟิลด์ (field) คือ การนำเอาอักขระตั้งแต่หนึ่งตัวขึ้นไปมารวมกันเพื่อให้เกิดความหมาย  เช่น  ฟิลด์ std_name 
ใช้เก็บข้อมูลนักศึกษา  เป็นต้น           
                  
- เรคคอร์ด (record) คือ กลุ่มของฟิลด์ที่สัมพันธ์กัน  กล่าวคือ ใน  1
เรคคอร์ดประกอบด้วยฟิลด์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นชุด  เช่น  เรคคอร์ดพนักงาน           
             
- ไฟล์ (file
) คือ กลุ่มของเรคอร์ดที่สัมพันธ์กันเช่น  แฟ้มประวัตินักศึกษา จะประกอบด้วยเรคคอร์ดของนักศึกษาทั้งหมดในมหาวิทยาลัย ดังนั้นหนึ่งไฟล์จะต้องมีอย่างน้อยหนึ่งเรคคอร์ด เพื่อใช้การใช้งานข้อมูล  เป็นต้น          
             
- Database  การรวมกันของหลาย  files/tables
3.
การเก็บข้อมูลแบบแฟ้มข้อมูลมีข้อจำกัดอย่างไร  จงอธิบาย   
   ตอบ  1.)  มีความซ้ำซ้อนของข้อมูล (Redundancy)  สืบเนื่องจากข้อมูลถูกเก็บแยกจากกัน ทำให้ไม่สามารถควบคุมความซ้ำซ้อนของข้อมูลได้ ทำให้สูญเสียพื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลมากขึ้น และก่อให้เกิดความผิดพลาดในการดำเนินการกับข้อมูล                     
          2) ความยากในการประมวลผลข้อมูลในแฟ้มข้อมูลหลายแฟ้มข้อมูล  ในการสร้างรายงานของแต่ละระบบเช่นการสร้างรายงานการลงทะเบียน ว่าแต่ละวิชามีนักศึกษาคนใดบ้างที่ลงทะเบียนเรียน จะต้องมีการเขียนโปรแกรมประยุกต์เช่นโปรแกรมการลงทะเบียน เพื่อทำการดึงข้อมูลรหัสวิชา รหัสนักศึกษา จากแฟ้มข้อมูลการลงทะเบียน และต้องนำรหัสวิชาที่ได้ไปค้นชื่อวิชาและจำนวนหน่วยกิตที่มีรหัสวิชาตรงกันจากแฟ้มรายวิชา ส่วนรหัสนักศึกษาที่ได้ก็จะต้องนำไปค้นชื่อนักศึกษาที่มีรหัสตรงกันจากแฟ้มนักศึกษา ซึ่งโปรแกรมการลงทะเบียนที่เขียนจะต้องมีความซับซ้อนพอสมควร เนื่องจากต้องมีการจัดการกับแฟ้มข้อมูลมากกว่า 1 แฟ้มข้อมูลขึ้นไป
            3)
ไม่มีผู้ควบคุมหรือรับผิดชอบระบบทั้งหมด  เนื่องจากผู้เขียนโปรแกรมด้านใดด้านหนึ่ง ก็จะดูแลเฉพาะข้อมูลที่จะมีการใช้กับงานของตนเท่านั้น
            4) ความขึ้นต่อกัน
(Dependency)  โครงสร้างของแฟ้มข้อมูลมักจะเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมประยุกต์ที่สร้างขึ้น ตัวอย่างเช่น ถ้ามีการเขียนโปรแกรมประยุกต์ด้วยภาษา COBOL โครงสร้างของแฟ้มข้อมูลที่จะใช้เช่นชื่อเขตข้อมูลต่าง ๆ ขนาดของเขตข้อมูล จะต้องประกาศไว้ในส่วนของ DATA DIVISION ของโปรแกรมประยุกต์ ปัญหาก็คือว่าถ้ามีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของแฟ้มข้อมูลเมื่อใด ก็จะต้องไปทำการแก้ไขโปรแกรมประยุกต์ คือต้องไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างแฟ้มข้อมูลในส่วน DATA DIVISION นั้นด้วย
4. ฐานข้อมูลคืออะไร  และยกตัวอย่างฐานข้อมูลที่นักศึกษารู้จักมาสองระบบ   
   ตอบ  ฐานข้อมูล (Database) คือ ระบบที่รวบรวมข้อมูลไว้ในที่เดียวกัน ซึ่งประกอบไปด้วยแฟ้มข้อมูล (File) ระเบียน (Record) และ เขตข้อมูล (Field) และถูกจัดการด้วยระบบเดียวกัน โปรแกรมคอมพิวเตอร์จะเข้าไปดึงข้อมูลที่ต้องการได้ อย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเปรียบฐานข้อมูลเสมือนเป็น electronic filing system เช่น ฐานข้อมูลระบบทะเบียนนักศึกษา ระบบบริการ ATM
5. ฐานข้อมูลช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับการเก็บข้อมูลในแฟ้มข้อมูลอย่างไร    
   ตอบ เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นของการจัดการข้อมูลในระบบแฟ้มข้อมูล ซึ่งเรียกว่าระบบการจัดการฐานข้อมูล.
6. ระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS) คืออะไร  มีส่วนสำคัญต่อฐานข้อมูลอย่างไร    
  ตอบ  ระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS) หมายถึง โปรแกรมที่ทำหน้าที่จัดการข้อมูลในฐานข้อมูลทั้งการสร้าง, การเรียกใช้งาน, การเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง  และยังควบคุมระบบรักษาความปลอดภัยของฐานข้อมูลอีกด้วย  โดยระบบจัดการฐานข้อมูลจะเป็นสื่อกลางระหว่างผู้ใช้งานโปรแกรมประยุกต์  เพื่อรักษาความสัมพันธ์ของข้อมูลภายในฐานข้อมูลให้มีความถูกต้องอยู่เสมอ
7. จงยกตัวอย่าง ฐานข้อมูลกับการดำเนินชีวิตประจำวัน   
  ตอบ ระบบลงทะเบียนนักศึกษา
           การจองตั๋วเครื่องบิน
           ข้อมูลผู้ป่วยในโรงพยาบาล

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วิชาการจัดระบบเครือข่ายและการสื่อสารข้อมูลธุรกิจด้วยคอมพิวเตอร์

คำศัพท์ Network

Gateway
           Gateway is a hardware device that connects different types of networks together, such asThe use of gateways to connect networks. A PC type computer (PC).To a Macintosh computer types (MAC) and so on.
           Gateway (เกตเวย์) เป็นอุปกรณ์อาร์ดแวร์ที่เชื่อมต่อเครือข่ายต่างประเภทเข้าด้วยกัน เช่น การใช้เกตเวย์ในการเชื่อมต่อเครือข่าย ที่เป็นคอมพิวเตอร์ประเภทพีซี (PC) เข้ากับคอมพิวเตอร์ประเภทแมคอินทอช (MAC) เป็นต้น   

Modulation
          Modulation is the process where a Radio Frequency or Light Wave's amplitude, frequency, or phase is changed in order to transmit intelligence. The characteristics of the carrier wave are instantaneously varied by another "modulating" waveform.
           Modulation (โมดูเลชั่น
) คือการผสมสัญญาณข้อมูลเข้ากับสัญญาณความถี่สูง เช่น คลื่นวิทยุ ทำให้เดินทางได้ไกลขึ้น และป้องกันไม่ให้สัญญาณข้อมูลถูกรบกวน
Skype คืออะไร
             เป็น Software สำหรับใช้งานโทรศัพท์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต นอกจากบริการคุยโทรศัพท์ผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตแล้วยังมีบริการ ส่งไฟล์ข้อมูล Chat ประชุมพร้อมกัน 5 คน และอื่นๆอีกมาก แต่จุดประสงค์ที่แนะนำเพื่อให้ใช้ในการติดต่อโทรศัพท์ทางไกลแบบไม่เสียเงิน (เสียแต่ค่าชั่วโมงอินเตอร์เน็ต หรือค่าโทรศัพท์ 3 บาทเท่านั้น) เป็นโปรแกรมของประเทศอเมริกา จึงมีแต่ภาษาอังกฤษ แต่ใช้งานง่าย ดีกว่า Windows Messenger และส่งไฟล์ขนาดใหญ่ได้เร็วกว่า e-mail

Topology คืออะไร
             Topology คือลักษณะทางกายภาพ (ภายนอก) ของระบบเครือข่าย ซึ่งหมายถึง ลักษณะของการเชื่อมโยงสายสื่อสารเข้ากับอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องคอมพิวเตอร์ ภายในเครือข่ายด้วยกันนั่นเอง โทโปโลยีของเครือข่าย LAN แต่ละแบบมีความเหมาะสมในการใช้งาน แตกต่างกันออกไป การนำไปใช้จึงมีความจำเป็นที่เราจะต้องทำการศึกษาลักษณะและคุณสมบัติ ข้อดีและข้อเสียของโทโปโลยีแต่ละแบบ เพื่อนำไปใช้ในการออกแบบพิจารณาเครือข่าย ให้เหมาะสมกับการใช้งาน รูปแบบของโทโปโลยี ของเครือข่ายหลัก
อุปกรณ์เครือข่าย (Network Devices)
PoE (Power over Ethernet) Adapter
         เป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาสำหรับแก้ไขข้อยุ่งยากในการเดินสายไฟฟ้าเพื่อใช้งานกับอุปกรณ์ไร้สาย โดยหันมาใช้วิธีการจ่ายไฟผ่านสายนำสัญญาณ UTP ที่ยังมีคู่สายที่ยังไม่ถูกนำมาใช้งานมาทำหน้าที่แทน ซึ่งอุปกรณ์ PoE Adapter จะมี 2 ส่วน คือ Power Injector เป็นอุปกรณ์กำเนิดไฟฟ้าและนำสัญญาณข้อมูลจา Switch Hub เข้าไปสายนำสัญญาณสู่อุปกรณ์ไร้สายอย่าง Access Point และอีกอุปกรณ์เป็น Spliter ที่ใช้แยกสัญญาณข้อมูลและไฟฟ้าให้กั Access Point ผู้ผลิตหลายรายในปัจจุบันออกแบบให้ Switch สนับสนุนมาตรฐาน IEEE 802.3af (PoE) มาพร้อมด้วย
          
IEEE 802.3 (Ethernet)
-ได้ปฏิวัติความต้องการในการเพิ่มปริมาณของ Packet ข้อมูลในเครือข่าย
- ลดต้นทุนการรับส่งข้อมูล
- ความน่าเชื่อถือ
- การติดตั้งบำรุงรักษา ทำได้สะดวก
- เริ่มต้นทำงานที่ 10 Mbps (มีชื่อว่า Ethernet)
- ความเร็วระดับ 100 Mbps (มีชื่อว่า Fast Ethernet)
- ระดับ 1 Gbps (มีชื่อว่า Gigabit Ethernet)
- ปัจจุบัน 10 Gbps (มีชื่อว่า 10 Gigabit Ethernet หรือ 10 GbE) กำลังจะเข้ามาในเครือข่ายของ Ethernet และชั้น Data Link
- เป็นข้อกำหนดด้านรูปแบบของเฟรมข้อมูล (Frame) ใช้ Access Method แบบ CSMA/CD และใช้Topology แบบ Bus , Star และ Ring
- IEEE ก็ได้ประกาศรับรองมาตรฐานของ Ethernet ไว้ในมาตรฐาน IEEE 802 ซึ่งเป็นมาตรฐานหลักที่เกี่ยวกับรูปแบบของการใช้งานและข้อมูลต่างๆ เช่น 10Base510 หมายถึงความเร็ว 10 MbpsBase หมายถึง Baseband (“Broad” คือ Broadband)5 หมายถึงระยะไกลสุดที่สามารถเชื่อมต่อ ในที่นี้คื 500 เมตร T หมายถึง ใช้สาย Twisted Pair และ “F” หมายถึง Fiber
- มาตรฐาน IEEE 802.3u ซึ่งได้ขยายครอบคลุมความเร็วระดับ 100 Mbps (Fast Ethernet) ประกอบด้วย100BaseTX เป็นการใช้สาย UTP Category 5 เชื่อมต่อได้ไกล 100 เมตร/Segment100BaseFX เป็นการใช้สาย Fiber Optic เชื่อมต่อได้ไกลถึง 412 เมตร/Segment
- ร่างมาตรฐาน 802.3z หรือ Gigabit Ethernet โดยจะทำการขยายความเร็วในการเชื่อมต่อขึ้นไปถึง 1000 Mbps (1 Gigabit/Second)

มาตรฐาน  IEEE 802.5
            เป็นมาตรฐานโปรโตคอลแบบ  Token  Passing  ของเครือข่าย  LAN  แบบ  Token – Ring  สายสื่อสารมาตรฐาน  IEEE 802.5 คือ สายเกลียวคู่แบบมีชีลด์ซึ่งมี  2  อัตราเร็วของการส่งข้อมูลคือ  1  และ  4  Mbps  สำหรับเครือข่าย  LAN  แบบ  Token – Ring  และยังมีอีกหนึ่งมาตรฐานที่ใช้ร่วมกันคือมาตรฐานของ  IBM  ซึ่งมีสายสื่อสารให้เลือก  2  แบบ  คือ  สายเกลียวคู่แบบไม่มีชีลด์  อัตราเร็ว  1 และ 4 Mbps  และสายเกลียวคู่แบบมีชีลด์  อัตราเร็ว  16 Mbps
 
มาตรฐานเครือข่ายไร้สาย  IEEE 802.11
            เครือข่ายไร้สายมาตรฐาน  IEEE 805.11 ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อปี  .. 2540 โดยสถาบัน  IEEE (The  Institute  of  Electronics  and  Electrical  Engineers) ซึ่งมีข้อกำหนดระบุไว้ว่าผลิตภัณฑ์เครือข่ายไร้สายในส่วนของ  PHY  Layer  นั้นมีความสามารถในการรับส่งข้อมูลที่ความเร็ว  1,2,5.5,11 และ  54 เมกะบิตต่อวินาที  โดยมีสื่อนำสัญญาณ  3  ประเภทให้เลือกใช้งานอันได้แก่  คลื่นวิทยุย่านความถี่  2.4  กิกะเฮิรตซ์, 2.5 กิกะเฮิรตซ์และคลื่นอินฟาเรด  ส่วนในระดับชั้น  MAC  Layer  นั้นได้กำหนดกลไกของการทำงานแบบ   CSMA/CA  (Carrier  Sense  Multiple  Access/Collision  Avoidance) ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับ  CSMA/CD  (Collision  Detection) ของมาตรฐาน  IEEE 802.3 Ethernet  ซึ่งนิยมใช้งานบนระบบเครือข่ายแลนใช้สาย  โดยมีกลไกในการเข้ารหัสข้อมูลก่อนแพร่กระจายสัญญาณไปบนอากาศ  พร้อมกับมีการตรวจสอบผู้ใช้งานอีกด้วย

IEEE 802.11a
            เป็นมาตรฐานที่ได้รับการตีพิมพ์และเผยแพร่เมื่อปี พ.. 2542  โดยใช้เทคโนโลยี  OFDM (Orthogonal  Frequency  Division  Multiplexing) เพื่อพัฒนาให้ผลิตภัณฑ์ไร้สายมีความสามารถในการรับส่งข้อมูลด้วยอัตราความเร็วสูงสุด  54  เมกะบิตต่อวินาที  โดยใช้คลื่นวิทยุย่านความถี่  5  กิกะเฮิรตซ์  ซึ่งเป็นย่านความถี่ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้งานโดยทั่วไปในประเทศไทย  เนื่องจากสงวนไว้สำหรับกิจการทางด้านดาวเทียม  ข้อเสียของผลิตภัณฑ์มาตรฐาน  IEEE 802.11a  ก็คือมีรัศมีการใช้งานในระยะสั้นและมีราคาแพง  ดังนั้นผลิตภัณฑ์ไร้สายมาตรฐาน  IEEE 802.11a  จึงได้รับความนิยมน้อย
 
IEEE 802.11b
            เป็นมาตรฐานที่ถูกตีพิมพ์และเผยแพร่ออกมาพร้อมกับมาตรฐาน  IEEE 802.11a  เมื่อปี พ.. 2542  ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีและได้รับความนิยมในการใช้งานกันอย่างแพร่หลายมากที่สุด  ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาให้รองรับมาตรฐาน  IEEE 802.11b  ใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า  CCK  (Complimentary  Code  Keying) ร่วมกับเทคโนโลยี  DSSS  (Direct  Sequence  Spread  Spectrum) เพื่อให้สามารถรับส่งข้อมูลได้ด้วยอัตราความเร็วสูงสุดที่  11  เมกะบิตต่อวินาที  โดยใช้คลื่นสัญญาณวิทยุย่านความถี่  2.4  กิกะเฮิรตซ์  ซึ่งเป็นย่านความถี่ที่อนุญาตให้ใช้งานในแบบสาธารณะทางด้านวิทยาศาสตร์  อุตสาหกรรม  และการแพทย์  โดยผลิตภัณฑ์ที่ใช้ความถี่ย่านนี้มีชนิด  ทั้งผลิตภัณฑ์ที่รองรับเทคโนโลยี  Bluetooth, โทรศัพท์ไร้สายและเตาไมโครเวฟ  จึงทำให้การใช้งานนั้นมีปัญหาในเรื่องของสัญญาณรบกวนของผลิตภัณฑ์เหล่านี้  ข้อดีของมาตรฐาน  IEEE 802.11b ก็คือ สนับสนุนการใช้งานเป็นบริเวณกว้างกว่ามาตรฐาน  IEEE 802.11a  ผลิตภัณฑ์มาตรฐาน  IEEE 802.11b  เป็นที่รู้จักในเครื่องหมายการค้า  Wi – Fi ซึ่งกำหนดขึ้นโดย  WECA  (Wireless  Ethernet  Compatability  Alliance) โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้รับเครื่องหมาย  Wi – Fi  ได้ผ่านการตรวจสอบและรับรองว่าเป็นไปตามข้อกำหนดของมาตรฐาน IEEE 802.11b  ซึ่งสามารถใช้งานร่วมกันกับผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิตรายอื่น ๆ ได้
IEEE 802.11g
            เป็นมาตรฐานที่นิยมใช้งานกันมากในปัจจุบันและได้เข้ามาทดแทนผลิตภัณฑ์ที่รองรับมาตรฐาน IEEE 802.11b  เนื่องจากสนับสนุนอัตราความเร็วของการรับส่งข้อมูลในระดับ  54  เมกะบิตต่อวินาที  โดยใช้เทคโนโลยี  OFDM  บนคลื่นสัญญาณวิทยุย่านความถี่  2.4  กิกะเฮิรตซ์  และให้รัศมีการทำงานที่มากกว่า  IEEE 802.11a   พร้อมความสามารถในการใช้งานร่วมกันกับมาตรฐาน  IEEE 802.11b  ได้ (Backward - Compatible)
IEEE 802.11n
            เป็นมาตรฐานของผลิตภัณฑ์เครือข่ายไร้สายที่คาดหมายกันว่า จะเข้ามาแทนที่มาตรฐาน IEEE 802.11a, IEEE 802.11b และ IEEE 802.11g  ที่ใช้งานกันอยู่ในปัจจุบัน  โดยให้อัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลในระดับ  100  เมกะบิตต่อวินาที